Monday, July 28, 2014

วิตามิน & อาหารเสริม จำเป็นแค่ไหน

วิตามิน & อาหารเสริม จำเป็นแค่ไหน

สังเกตเห็นว่าปัจจุบันผู้คนใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น ยอดขายอาหารเสริมและวิตามินต่าง ๆ จึงเพิ่มขึ้น เพราะอิทธิพลของโฆษณาที่ทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่า การรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมจะช่วยทำให้สุขภาพดี บางคนถึงกับเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นยารักษาโรคได้เลยทีเดียว แต่หลายคนเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่า อาหารเสริมหรือวิตามิน รวมถึงแร่ธาตุต่าง ๆ นั้นมีความจำเป็นต่อร่างกายมากน้อยแค่ไหน วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจคร่าว ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้กันค่ะ
                อาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะให้สารอาหารที่แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ Macronutrients (คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน) กับ Micronutrients (วิตามิน และแร่ธาตุ) กลุ่มแรกเป็นสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายต้องการในปริมาณมาก กลุ่มหลัง จำเป็นเช่นกัน แม้ร่างกายต้องการในปริมาณน้อยกว่า แต่ขาดไม่ได้เลยสักนิด เพราะถ้าขาดเมื่อใดจะส่งผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายไม่ต่างจากกลุ่มแรก
                วิตามินเป็นสารประกอบอินทรีย์ (ขณะที่แร่ธาตุเป็นสารประกอบอนินทรีย์) ที่เราได้จากอาหารหลากหลายชนิดที่รับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป ส่วนวิตามินและแร่ธาตุในรูปเม็ดหรือแคปซูลที่จำหน่ายตามร้านเป็นวิตามินที่ถูกสังเคราะห์ขึ้น

                ความต่างของวิตามินจากธรรมชาติและวิตามินสังเคราะห์ คือ หากมาจากธรรมชาติ ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่า และหากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปก่อให้เกิดพิษน้อยกว่าเมื่อเทียบกับวิตามินสังเคราะห์

                ผลการวิจัยจากหลายสถาบันชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าวิตามินที่ได้จากธรรมชาติหรือจากอาหารจะดีกว่าวิตามินสังเคราะห์ เพราะในอาหารไม่ได้มีองค์ประกอบแค่วิตามินอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆด้แก่น แร่ธาตุ และ Phytochemical ( สารเคมีจากพืชเป็นารที่ทำให้เกิดสี กลิ่น และรสของผัก ผลไม้ มีคุณสมบัติ คือ การเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ)

                ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้จะทำงานร่วมกันอันจะนำประโยชน์รอบด้านไปสู่ร่างกาย ในขณะที่วิตามินหรือแร่ธาตุสังเคราะห์ แม้จะอยู่ในรูปพร้อมใช้งานแต่องค์ประกอบสำคัญที่ขาดหายไป คือ Phytochemical ดังนั้น วิตามินสังเคราะห์จึงไม่อาจเทียบชั้นกับวิตามินที่ได้จากอาหาร (ยกเว้นวิตามินบี 9 หรือที่รู้จักในชื่อโฟเลต / กรดโฟลิก หากอยู่ในรูปสังเคราะห์ ร่างกายจะดูดซึมได้ดีกว่าบี 9 ในอาหาร)

                สำหรับคนที่แข็งแรง ร่างกายปกติ หากรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ทุกมื้อทุกวัน ก็จะได้รับวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม สำหรับบางกลุ่มคนที่อยู่ในภาวะ “พร่อง” โภชนาการหรือกลุ่มเสี่ยงขาดแคลน วิตามินสังเคราะห์ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก กลุ่มที่ว่าได้แก่ สตรีที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร สตรีที่รอบเดือนมามากผิดปกติ คนชราที่พิการหรือมีโรคประจำตัว คนที่มีปัญหาด้านสุขภาพบางอย่าง คนที่รับประทานมังสวิรัติแบบเคร่งครัด คนที่ลดความอ้วนผิดวิธี ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด ผุ้ใช้ยาเสพติดและผู้สูบบุหรี่จัด เป็นต้น

                คนจำนวนมากมักเข้าใจผิดคิดว่าวิตามินบางอย่างเมื่อรับประทานในปริมาณมากมันสามารถกลายเป็นยารักษาหรือป้องกันโรคบางอย่างได้ ยกตัวเย่างเช่นมีการโปรโมตว่าการรับประทานวิตามินซีช่วยรักษาอาหารหวัด หรือวิตามินอีมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ แต่ความจริงก็คือ ยังไม่มีงานวิจัยใดยืนยันว่าความเชื่อเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง อีกทั้งการรับประทานอาหารเสริมในปริมาณที่มากเกินไปยังจะก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ด้วยซ้ำ

                การรับประทานวิตามินเสริมบางชนิดมากเกินความจำเป็นอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพได้ เช่น วิตามินที่ละลายในไขมันอย่าง เอ ดี อี และเคที่สามารถสะสมในร่างกายได้ และหากมากเกินไปก็ก่อให้เกิดพิษ วิตามินที่ละลายในน้ำ บางอย่าง เช่น บี 6 หากรับประทานมากไปก็เป็นพิษเช่นกัน
                แร่ธาตุเองก็ไม่ต่าง สังกะสี ธาตุเหล็ก โครเมียม และซีลีเนียม หากรับประทานมากเกินกว่าจากที่แนะนำก็ทำให้เกิดโทษยกตัวอย่าง สังกะสี หากมากเกินจะขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กและทองแดง ผลที่ตามมา คือ ระบบภูมิคุ้มกันรวน ทำให้การทำงานของหัวใจมีปัญหา และเกิดโรคเลือดจาก
                ขณะที่น้ำมันปลา แม้จะมีคุณประโยชน์มากมาย แต่ถ้ารับประทานเกินจำเป็นอาจทำให้การแข็งตัวของเลือด (Blood Clotting) ลดลง ส่วนการรับประทานแคลเซียมในปริมาณมากจะทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กลดลง หรือโอเวอร์โดสวิตามินเอไม่เพียงส่งผลต่อกระดูกและผิวหนัง ระบบประสาทส่วนกลาง และการทำงานของตับ แต่ยังร้ายแรงถึงขั้นทำให้แท้งหรือทารกที่เกิดมาพิการอีกด้วย
                ผู้เขียนไม่ได้ต่อต้านการใช้อาหารเสริมหรือวิตามินสังเคราะห์ แต่มองว่าจะดีกว่าไหมหากเราเรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างชาญฉลาดโดยไม่ตกเป็นเหยื่อของโฆษณาวิตามินสังเคราะห์ไม่สามารถบริโภคแทนอาหารหลักได้ และหากจะใช้มันก็ควรเป็นระยะสั้นไม่ใช่ระยะยาว แต่ถ้าคิว่าอยากรับประทานจริง ๆ ควรขอคำแนะนำจากแพทย์ นักโภชนาการ นักกำหนดอาหารหรือผู้มีความรู้ไม่ใช่รับประทานสุ่มสี่สุ่มห้าหรือรับประทานตามแต่สัญชาติญาณจะพาไป เพราะแต่ละโดสมีความหมายมีความสำคัญน้อยไปก็ไม่ดี มากไปก็เป็นพิษได้
                ทางเลือกของการมีสุขภาพดีไม่ได้อยู่ที่การซื้อวิตามินสังเคราะห์มารับประทานแต่ยังมีอีกมากมายหลายทางที่เราสามารถทำได้ เช่น การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การปรับพฤติกรรมการรับประทานใหม่ การลดช่องทางที่จะนำไปสู่การเกิดโรคและการเลือกทานอาหารที่มีคุณค่ามีประโยชน์
                ฮิปโปเครตีส บิดาแห่งวงการแพทย์กล่าวไว้ว่า “Let your food be your medicine and your medicine be your food” นับเป็นคำพูดที่ไม่เคยล้าสมัยเลย การใช้อาหารเป็นยา หากทำได้ เราก็ไม่ต้องเสียเงินแพง ๆ ซื้อวิตามินสังเคราะห์มารับประทานให้เปลืองงบโดยใช่เหตุ

Thursday, July 10, 2014

ความรู้ ประโยชน์ เป็นอย่างไรเมื่อขาด เกี่ยวกับอาหารเสริม ที่มีแร่ธาตุต่างๆ


สาระน่ารู้ เป็นอย่างไรเมื่อเรา ไปซื้อจาก ผู้อาหารเสริม ที่มีแร่ธาตุ มากิน เป็นอย่างไรมาดูกัน
แร่ธาตุหรือเกลือแร่มีหน้าที่เป็นโครงสร้างของร่างกาย เป็นองค์ประกอบของเอนไซม์ ฮอร์โมน ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ร่างกายต้องการแต่ธาตุแต่ละชนิดในปริมาณมากน้อยแตกต่างกัน ตัวอย่างแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อร่างกายประกอบด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส ไอโอดีน เหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง และโพแทสเซียม เป็นต้น สามารถจำแนกแร่ธาตุตามความต้องการของร่างกายได้ 2 ประเภท ดังนี้
1 แร่ธาตุที่ร่างกายต้องการปริมาณมากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อวัน (Macro minerals) เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม ไอโอดิน โดยแคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีมากที่สุดในร่างกาย รองลงมาคือฟอสฟอรัส
2 แร่ธาตุที่ร่างกายต้องการปริมาณน้อย (Trace minerals) เช่น ทองแดง สังกะสี โครเมียม เหล็ก โมลิบดีนัม แมงกานีส ซีลีเนียม แม้ว่าร่างกายจะต้องการน้อยแต่ก็ ขาดไม่ได้เช่นกัน เพราะถ้าขาดจะส่งผลต่อการทำงานของร่างกายให้ผิดปกติไป ตัวอย่างเช่น สังกะสี
ซีลีเนียม (Selenium) พบในถั่วเหลืองเปลือกแข็ง อาหารทะเล สัตว์ปีก เนื้อวัวข้าวซ้อมมือ เป็นสารแอนติออกซิแดนต์ (ทำงานร่วมกับวิตามินซี วิตามินอี) ป้องกันโรคมะเร็งบางชนิด ลดอาการข้ออักเสบ อาการเมื่อขาด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เพิ่ม ความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง ภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ผิวหนังอักเสบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง อ่อนเพลีย ร่างกายต้องการวันละ 55-70 ไมโครกรัม
โพเทสเซียม (Potassium) พบในส้ม มันฝรั่ง กล้วย เนื้อวัว เป็ด ไก่ นม โยเกิร์ต ช่วยลดความดันเลือด ควบคุมการเต้นของหัวใจ ควบคุมปริมาณของเหลวในร่างกาย เป็นสารขับปัสสาวะ ช่วยขับสารพิษ อาการเมื่อขาด กล้ามเนื้ออ่อนแรง คลื่นไส้อาเจียน หัวใจล้มเหลว ร่างกายต้องการวันละ 47000 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส (Phosphorus) พบในเนื้อสัตว์ ปลา นม เสริมสร้างและ บำรุงกระดูกให้แข็งแรง สร้างสารเคลือบฟันทำให้ฟันแข็งแรง สร้างฟอสโฟลิปิด สร้างโมเลกุลที่ให้พลังงาน อาการเมื่อขาด กระดูกเปราะ อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า เบื่ออาหาร เจ็บข้อต่อ ขาดความยืดหยุ่น ติดเชื้อง่าย ร่างกายต้องการวันละ 700 มิลลิกรัม หากได้รับมากเกินไปจะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม และสังกะสี
แมกนีเซียม (Magnesium) พบในธัญพืช ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วฝัก ผักใบเขียวเข้ม หอย ช่วยสร้างกระดูกและฟัน สร้างพลังงาน ช่วยการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ ควบคุมการเต้นของหัวใจ การแข็งตัวของเลือด ผลิตและใช้ฮอร์โมน อินซูลิน อาการเมื่อขาด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเบาหวาน อ่อนเพลีย กล้ามเนื้อเกร็ง กระวนกระวาย สับสน ร่างกายต้องการวันละ 400 มิลลิกรัม
ฟลูออไรด์ (Fluoride) พบในน้ำประปา น้ำชา ทำให้สารเคลือบฟันแข็งแรง ป้องกันฟันผุ และภาวะกระดูกพรุน อาการเมื่อขาด เคลือบฟันเจริญช้ากว่าปกติ กระดูกพรุน ร่างกายต้อยการวันละ 2 มิลลิกรัม หากได้รับมากเกินไป จะทำให้ฟันตกกระ เอ็นยึดกระดูกหนา
แมงกานีส (Manganese) พบในขนมปังโฮลวีต ข้างกล้อง เมล็ด มะม่วงหิมพานต์ ถั่วเหลือง อัลมอนด์ น้ำชา ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ สร้างเอนไซม์ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยนำโปรตีนตากอาหารมาใช้ ช่วยสร้างฮอร์โมนเพศและไทรอยด์ กระตุ้นการสร้างกระดูกอ่อนและเนื้อเยื้อในกระดูก ช่วยหล่อลื่นข้อต่อระหว่างกระดูก อาการเมื่อขาด ปวดข้อ ผิวหนังเป็นผื่น มึนศีรษะ กล้ามเนื้อกระตุก การทรงตัวไม่ดี ร่ายกายต้องการวันละ 2.3 มิลลิกรัม หากได้รับมากเกินไปจะทำลายสมอง
โมลิบดีนัม (Molybdenum) พบในพืชผักใบเขียวต่างๆ เนื้อสัตว์ หน้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเอนไซม์ที่สำคัญจำนวนมาก เช่น เอนไซม์ที่เกี่ยวกับการขนย้ายธาตุเหล็กและการเผาผลาญไขมัน ทำให้ร่างกายใช้เหล็กได้ และยังช่วยบำรุงเส้นประสาท บำรุงสุขภาพเพศชาย ป้องกันการเป็นหมัน โมลิบดีนัม เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อย เพียง 0.5 มิลลิกรัม จึงมักไม่พบการขาด
โซเดียม (Sodium) พบในอาหารหลายชนิด รักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย นำสารอาหารจากเลือดเข้าสู่เซลล์ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว อาการเมื่อขาด เวียนหัว ความดันโลหิตต่ำ ตะคริว คลื่นไส้ อาเจียน อาการขาดน้ำ ปวดศีรษะ ไม่อยากอาหาร แม้ว่าแต่ธาตุตัวนี้ร่างกายต้องการปริมาณสูง (2400 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่าเกลือ 6 กรัม) แต่ไม่จำเป็นต้องได้รับเสริม เพราะร่างกายมักจะได้รับเกินอยู่แล้วเพราะมีมากในเกลือ แต่หากรับประทานมากไป โซเดียม จะดูดน้ำไว้ทำให้ภายในเส้นเลือดมีน้ำมาก ทั้งที่พื้นที่ภายในเส้นเลือดมีเท่าเดิม จึงทำให้เกิดความดันสูง
ซิลิคอน (Silicon) พบในหอมหัวใหญ่ อัลฟัลฟา ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ด ข้าวเจ้า ข้าวบาร์เลย์ ช่วยเสริมความแข็งแรงของเนื้อเยื้อ หลอดเลือดแดง หลอดลม ปอด การสร้างกระดูกและเอ็นในระยะเริ่มต้น เสริมความแข็งแรงให้กับเส้นผมและเล็บ ต้านฤทธิ์ของอลูมิเนียม จึงช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ และกระดูกพรุน อาการเมื่อขาด เล็กลอก มีดอกเล็บ กระดูกพรุน ผิวหนังเหี่ยวย่น ผมเสีย

ซัลเฟอร์ (Sulphur) หรือกำมะถัน พบมากที่สุดในไข่ ถั่ว เนื้อหมู วัย ไก่ ช่วยผลิตสารเคราติน ซึ่งเกี่ยวกับความแข็งแรงของเส้นผม ผิวหนัง ใช้ในการสร้ากระดูกอ่อน เส้นเอ็น ช่วยผลิตฮอร์โมนอิสซูลิน สร้างและบำรุงระบบสืบพันธุ์ การรับประทานอาหารหมวดโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะได้รับกำมะถันเพียงพอตามไปด้วย หากขาดกำมะถัน จะเกิดอาการผิดปกติที่ผิวหนัง เล็บเปราะ และผมร่วง หากได้รับกำมะถันในรูปอาหารจะไม่เป็นอันตราย แต่หากได้รับมากในรูปของแร่จะมีพิษต่อกระเพาะอาหาร ตับ และไต

Wednesday, July 9, 2014

ประโยชน์ของ อาหารเสริม ที่มี วิตามินเค vitamin K

วิตามินเค
ขายอาหารเสริม

วิตามินเคหรือแอลฟาฟิลโลควิโนน (alpha phylloquinone) เป็นวิตามินประเภทที่ละลายในน้ำมัน พบในตับ ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช มะเขือเทศ ผักใบเขียว ผักโขมและแบคทีเรียในลำไส้สร้างขึ้นได้ วิตามินเคจำเป็นในการสร้างโพรทรอมบิน ซึ่งเป็นสารช่วยให้เลือดแข็งตัวได้เร็วเวลาที่เกิดบาดแผล บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
วิตามินเค มี 3 ชนิดคือ
1 วิตามินเค 1 (Phylloquinone) พบในพืช พบมากในผักใบเขียว อะโวคาโด กีวี ใช้ในทางยาเพื่อรักษาโรค
2 วิตามินเค 2 (Menaquinone) พบในเนื้อ ไข่ นม ถั่วหมักญี่ปุ่น และสามารถสร้างได้จากแบคทีเรียในลำไส้
3 วิตามินเค 3 (Menadione) เป็นวิตามินที่สังเคราะห์ขึ้นและอยู่ในรูปที่ละลายน้ำ เป็นวิตามินที่มีพิษ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหัรฐอเมริกาจึงห้ามใช้วิตามินเค 3 ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือ ขายอาหารเสริม ที่มีวิตามินเค 3 เนื่องจากหากใช้ปริมาณมากเกินไป จะเกิดการแพ้ เลือดไหล และทำลายตับ
วิตามินเค 1 และ วิตามินเค 2 จับแคลเซียมจากไตมาไว้ที่กระดูก วิตามินเค 2 ช่วยลดการเกิดกระดูกพรุนในสตรีวัยทอง วิตามินเค 2 สามารถเปลี่ยนวิตามินเค 1 ได้โดยเนื้อเยื่อของร่างกาย
ปริมาณวิตามินเคที่เพียงพอสำหรับทารกคือ 10-20 ไมโครกรัม สำหรับเด็กคือ 15-100 ไม่โครกรัม สำหรับผู้ชายอายุ 25 ปีขึ้นไปคือ 120 ไมโครกรัม และ สำหรับผู้หญิงคือ 90 ไมโครกรัม
โดยปกติร่างกายจะไม่ขาดวิตามินเคเพราะแบคทีเรียในลำไส่สร้างได้ เว้นแต่ในเด็กแรกเกิด เพราะในลำไส้ยังไม่มีแบคทีเรียจึงขาดวิตามินเค ทำให้เกิดเลือดออกจากอวัยวะเพศและเลือดออกตามผิวหนัง (Hemorrhagic disease of the newborn)ในสมัยโบราณไม่ทราบว่าเด็กผู้หญิงแรกคลอดที่มีเลือดออกจากอวัยววะเพศเกิดจากการขาดวิตามินเค เข้าใจว่าเด็กมีประจำเดือน จากสถิติพบว่าเด็กเกิดใหม่ขาดวิตามินเค คณะกรรมการด้านสารอาหารกุมารเวชศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาแนะนำให้ทารกแรกเกิดได้รับวิตามินเค 1 ปริมาณ 0.5-1.0 มิลลิกรัมทันทีหลังคลอด แพทย์ในสหรัฐอเมริกาจึงฉีดวิตามินเค 1 ให้เด็กทุกคนโดยการฉีดจะให้ผลดีกว่าการรับประทาน และในผู้ที่รับประทานยาปฎิชีวนะ พบว่าทำให้วิตามินเค 2 ลดลง 74% เพราะยาทำการฆ่าเชื่อนลำไส้ทำให้ร่างกายไม่มีตัวผลิตวิตามินเคและยังพบด้วยว่าผู้สูงอายุมีวิตามินเค 2 ลดลง
อาการเมื่อขาดวิตามินเคคือ เลือดเป็นลิ่มช้า แข็งตัวยาก เลือดไหลไม่หยุด ท้องเสียมาก และก่อนผ่าตัดแพทย์จะทดสอบการแข็งตัวของเลือด ถ้าเลือดไม่แข็งตัวแพทย์จะฉีดวิตามินเคให้ผู้ป่วย

ถ้าแม่ได้รับวิตามินเคปริมาณมากก่อนคลอด จะส่งผลให้เกิดภาวะเลือดออกในทารกแรกคลอด ทำให้ทารกซีดและตัวเหลือง

ประโยชน์ ของ อาหารเสริม ที่มี วิตามินอี

รูป ขายอาหารเสริม วิตามินอี

ประโยชน์ ของ อาหารเสริม ที่มี วิตามินอีหรือโทโคฟีรอล (Tocopherol) เป็นวิตามินอีที่ละลายในน้ำมัน มีหน้าที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดรอยแผล บำรุงประสาทและกล้ามเนื้อ บำรุงเม็ดเลือดแดง ช่วยการไหลเวียนของเลือด ป้องกันหลอดเลือด แข็งตัว ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ต้านการเสื่อมของไขมัน ปกป้องเยื่อปอด รักษาแผลไหม้ ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และหากใช้วิตามินเคช่วยจะป้องกันการเป็นหมันแบะเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
วิตามินอีพบในน้ำมันพืช ธัญพืช อะโวคาโด ข้าวโพด มะกอก ผักถั่ว เนื้อสัตว์ ไข่แดง และผักใบเขียว
เด็กแรกเกิด 6 เดือน ร่างกายควรได้รับวิตามินอี 4 มิลลิกรัม
6 เดือนถึง 1 ปี ร่างกายควรได้รับวิตามินอี 5 มิลลิกรัม
1-3 ปี ร่างกายควรได้รับวิตามินอี 6 มิลลิกรัม
4-8 ปี ร่างกายควรได้รับวิตามินอี 7 มิลลิกรัม
9-13 ปี ร่างกายควรได้รับวิตามินอี 11 มิลลิกรัม
วัยรุ่น-ผู้ใหญ่ ร่างกายควรได้รับวิตามินอี 15 มิลลิกรัม
ในผู้ชายควรได้รับวิตามินอี 300 IU (10 มิลลิกรัม) และในผู้หญิงควรได้รับ 8 มิลลิกรัม หากต้องการป้องกันเกล็ดเลือดจับตัวอุดตันหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจควรรได้รับปริมาณ 400 IU
หากขาดวิตามินอีจะปรากฏอาการอ่อนเพลีย กล้ามเนื้อไม่มีแรง ผิวหนัง ช้ำเขียวง่าย แก่ก่อนวัย แผลหายช้า เส้นเลือดดำขอด ในเด็กเม็ดเลือดแดงแตก ผู้ใหญ่โลหิตจาง ระบบประสาทผิดปกติ เป็นหมัน อาจทำให้แท้งได้ มักขาดในเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ที่หมอให้ออกซิเจนแล้วเด็กตาบอดเพราะอนุมูลอิสระจากออกซิเจนมีมากจึงทำลายเรตินาในตา ดังนั้นต้องแก้โดยให้วิตามินอี 0.7 IU ก่อนให้ออกซิเจน
หากได้รับมากเกินไปจะมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดไม่ควรรับประทานวิตามินอีสูง เพราะจะทำให้เลือดหยุดไหลยาก
ข้อควรระวัง

ห้ามใช้กับผู้ขาดวิตามินเค เพราะจะทำให้เลือดหยุดไหลยาก

Tuesday, July 8, 2014

อาหารเสริม ประโยชน์ และโทษ ของวิตามินดี vitamin D

อาหาเสริม วิตามินดีหรือแคบซิเฟอรอบ (Calciferol) เป็นวิตามินชนิดละลายในน้ำมัน พบในเนย นม ปลาที่มีไขมันสูง ไข่แดง ธัญพืช ร่างกายเราสามารถสร้างวิตามินดีได้โดยสัมผัสกับแสงแดดอ่อนๆ ย่ามเช้า 15 นาที สัปดาห์ 2-4 ครั้ง แสงแดดช่วยเปลี่ยนสารประเภทคอเลสเตอรอล ในร่างกายเราให้เป็นวิตามินดี และวิตามินดียังพบในปลาที่มีไขมันสูง เช่น แซลมอน แมคเคอเรล ตับ น้ำมันตับปลสา นม เนย ทำให้ไม่ค่อยมีความจำเป็นมากนักที่จะไปรับประทานวิตามินดี ชนิดเม็อดเสริม แต่อย่างไรก็ตามยังพบคนที่ขาดวิตามินดีได้ คือคนที่ไม่โดนแดด คนที่ทาครีมกันแดด ทารก คนชรา และคนอ้วน

ไข่แดง 1 ฟอง มีปริมาณวิตามินดี 0.6 ไมโครกรัม
น้ำนมโคครึ่งถ้วย มีปริมาณวิตามินดี 1.2-1.3 ไมโครกรัม
น้ำนมถั่วเหลืองครึ่งถ้วย มีปริมาณวิตามินดี 0.5-1.5 ไมโครกรัม

ร่างกายต้องการวิตามินดีวันละ 400-800 IU หรือ 10-20 ไมโครกรัม โดยอายุต่ำกว่า 50 ปีต้องการ 200 IU ซึ่งได้จากอาหารเพียงพอ อายุ 51-70 ปี ต้องการ 400 IU ซึ่งได้จากอาหารไม่เพียงพอควรได้รับอาหารเสริม หากอายุ 70 ปีขึ้นไปต้องการ 600 IU ซึ่ได้จากการกินอาหารเสริมเพิ่มเติม
วิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสซึ่งเป็นส่วนช่วยในการสร้างกระดูกและฟัน เก็บสำรองแร่ธาตุไว้ในกระดูกและฟัน ควบคุมแคลเซียมในเลือด ลดการขับแคลเซียมออกจากร่างกาย ช่วยในการแข็งตัวของเลือด ควบคุมความดัน ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ และช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
วิตามินดีมี 2 ชนิด ซึ่งร่างกายสามารถใช้ได้ทั้ง 2 ชนิดเหมือนกัน
1 วิตามินดี 2 (Ergocalciferol) สร้างจากสารเออร์โกสเตอรอล (Ergosterol) ที่ผลิตโดยยีสต์ เห็ด สาหร่าย ซึ่งมนุษย์และสัตว์ไม่มีสารเออร์โกสเตอรอล
2 วิตามินดี 3 (Cholecalciferol) สร้างจากสารพวกคอเลสเตอรอลชื่อ 7-dehydrocholesterol ซึ่งอยู่ใต้ผิวหนังเมื่อสัมผัสกับแสงแดด 7-dehydrocholesterol ยังสามารถเปลี่ยนวิตามินดี 2 ได้อีกด้วย หรือถ้าต้องการให้น้ำนมโคที่ซื้อมามีวิตามินดี ก็เพียงนำน้ำนมโคใส่แก้งแล้วไปตากแดดก็จะเพิ่มวิตามินดีในน้ำนมได้
การขาดวิตามินดีทำให้กระดูกอ่อน ขาโก่ง แขนโก่ง ฟันผุ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เมื่อเกิดอุบัติเหตุกระดูกหักง่าย จากการสำรวจคนไข้ชาวนอร์เวย์ 246 คนที่กระดูกเชิงกรานหักพบว่าได้รับวิตามินดีต่ำกว่า 100 ต่อวัน ในขณะที่ได้รับวิตามินดี 800 IU ต่อวันมีการเพิ่มของมวลกระดูก
ผู้ที่สูงอายุมากกว่า 50 ปี ต้องการวิตามินดีมากขึ้น พบว่าผู้ที่รับประทานวิตามินดี 482-77 IU ลดอัตราการเกิดกระดูกหักได้ 20%
รายงานการสำรวจประชากร 5000 คน จากสถาบันสุขภาพและสำรวจสารอาหารแห่งชาติ (NHANES) พบว่ากลุ่มที่มีวิตามินในเลือดต่ำกว่า 17.8 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร มีอัตราการเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสูงกว่า 80%
จากการสำรวจประชากรกลุ่มใหญ่ 120000 คนเป็นระยะเวลานานพบว่าการรับประทานอาหารเสริมวิตามินดี ตามค่ากำหนดมาตรฐานของสหรัฐอเมริกา (The U.S. RDA) ที่ 400 IU ต่อวัน ลดการเกิดมะเร็งตับได้ 43%
จากการสำรวจประขากรสตรี 1200 คนที่รับประทานวิตามินดี 1100 คนลดการเกิดมะเร็ง 60%
สภาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกาวิเคราะห์ข้อมูลผู้คนในกลุ่มประเทศที่ 3 จำนวน 16818 คน ไม่พบวิตามินดีมีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิต จากโรคมะเร็ง แต่พบว่าผู้ที่มีวิตามินดีในเลือด 80 นาโนโมลต่อลิตร ลดการเสี่ยงต่อมะเล็งลำไส้ 72% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีวิตามินดีในเลือด 50 นาโนโมลต่อลิตร
การศึกษาเชิงระบาดวิทยาจาก 35 งานวิจัยพบว่า กลุ่มที่มีระดับวิตามินดีในเลือดสูงกว่า 10 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร ลดโอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ 15% และมะเร็งเต้านม 11% แม้ว่าจะไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
การขาดวิตามินดีจะยับยั้งการหลั่งอินซูลิน จึงเพิ่มการเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน
ข้อควรระวัง
การได้รับวิตามินดีมากเกินไปจะทำงานตรงกันข้ามกับหน้าที่ของวิตามินดี คือ จะดึงแคลเซียมออกจากกระดูกไปพอกที่ผนังหลอดเลือด หัวใจ ปอดและไต
วิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน หากรับประทานมากเกินไป และรับประทานติดต่อกันจะสะสมที่ตับ ทำให้เกิดพิษได้
วิตามินดีเป็นสารประเภทคอเลสเตอรอล หากรับประทานมากเกินไป จะทำให้คอเลสเตอรอลสูง จนเกิดโทษได้
การได้รับวิตามินดีมากกว่า 5 เท่าของปริมาณที่กำหนดจะเกิดพิษคลื่นไส้ ปวดศีรษะ ท้องเสีย

หากสตรีมีครรภ์ได้รับวิตามินดีมากเกินไป จะทำให้ทารกมีความผิดปกติในระบบหลอดเลือดและปัญญาอ่อนได้

วิธีการเลือกซื้ออาหารเสริมต้องดูที่ฉลาก

รูปฉลาก ขายอาหารเสริม

การพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ผู้บริโภคก็ควรที่จะต้องอ่านฉลากสินค้าเพื่อทำให้ทราบข้อมูลของอาหารเสริม ประโยชน์ วิธีการใช้ ข้อห้ามใช้ และเครื่องหมายรับรองความปลอดภัย
หากจะรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ควรปฎบัติดังนี้เพื่อความปลอดภัย
1 ตรวจร่างกายเพื่อให้รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร เพราะโรคบาวโรคอาจไม่เหมาะกับการรับประทานอาหารเสริม เช่น ธาลัสซีเมีย ห้ามรับประทานอาหารเสริม ธาตุเหล็ก
2 แจ้งให้แพทย์ทราบว่ากินผลิตภัณฑ์อาหารเสริมประเภทใดอยู่ เช่น หากใช้สมุนไพรพร้อมกับรับประทานยาลดความดัน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะสมุนไพรบางชนิด เช่น ใบเตย ขึ้นฉ่าย รากระย่อน ช่วยลดความดันได้ แพทย์อาจพิจารณาลดปริมาณการใช้ยาลง
3 อ่านฉลากก่อนใช้ให้เกิดความเข้าใจในวิธีใช้
4 อ่านคำเตือน เช่น เกสรผึ้งห้ามใช้กับผู้ป่วยภูมิแพ้ น้ำมันปลาไคโตซาน ห้ามใช้กับผู้แพ้อาหารทะเล
5 หมั่นออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเป็นประจำให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
6 งดการดื่มสุรา งดการสูบบุหรี่
7 ไม่หักโหมงานหนัก พักความเครียด และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณวันละ 6-8 ชั่วโมง
8 รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
9 เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทานเพราะวิตามินไม่ได้เหมาะกับทุกคน หากสตรีมีครรภ์รับประทานวิตามินเอเสริมมากไป อาจทำให้แท้งได้ หรือลูกในครรภ์พิการได้
10 ควรกินอาหารเสริมน้อยกว่าที่ค่ากำหนด
11 ฉลาก ควรมีส่วนประกอบสำคัญ วิธีรับประทาน คำเตือน ข้อความเตือนเฉพาะ (บางผลิตภัณฑ์) เช่น น้ำมันปลามีผลต่อการแข็งตัวของเลือด และ สถานที่ผลิตอาหารเสริม

ผู้บริโภคต้องฉลาดบริโภค อ่านฉลาก ศึกษาข้อมูลที่มีหลักฐานยืนยัน เลือกรับประทานอาหารให้หลากหลาย ออกกำลังกาย ตรวจร่างกายเพื่อให้รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร และแจ้งให้แพทย์ทราบว่ารับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมใด