อาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะให้สารอาหารที่แบ่งเป็น
2 ประเภท คือ Macronutrients (คาร์โบไฮเดรต
โปรตีน และไขมัน) กับ Micronutrients (วิตามิน และแร่ธาตุ)
กลุ่มแรกเป็นสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายต้องการในปริมาณมาก กลุ่มหลัง จำเป็นเช่นกัน
แม้ร่างกายต้องการในปริมาณน้อยกว่า แต่ขาดไม่ได้เลยสักนิด
เพราะถ้าขาดเมื่อใดจะส่งผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายไม่ต่างจากกลุ่มแรก
วิตามินเป็นสารประกอบอินทรีย์
(ขณะที่แร่ธาตุเป็นสารประกอบอนินทรีย์)
ที่เราได้จากอาหารหลากหลายชนิดที่รับประทานเข้าไป
โดยเฉพาะอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป
ส่วนวิตามินและแร่ธาตุในรูปเม็ดหรือแคปซูลที่จำหน่ายตามร้านเป็นวิตามินที่ถูกสังเคราะห์ขึ้น
ความต่างของวิตามินจากธรรมชาติและวิตามินสังเคราะห์
คือ หากมาจากธรรมชาติ ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่า
และหากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปก่อให้เกิดพิษน้อยกว่าเมื่อเทียบกับวิตามินสังเคราะห์
ผลการวิจัยจากหลายสถาบันชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าวิตามินที่ได้จากธรรมชาติหรือจากอาหารจะดีกว่าวิตามินสังเคราะห์
เพราะในอาหารไม่ได้มีองค์ประกอบแค่วิตามินอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบอื่น
ๆด้แก่น แร่ธาตุ และ Phytochemical ( สารเคมีจากพืชเป็นารที่ทำให้เกิดสี
กลิ่น และรสของผัก ผลไม้ มีคุณสมบัติ คือ การเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ)
ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้จะทำงานร่วมกันอันจะนำประโยชน์รอบด้านไปสู่ร่างกาย
ในขณะที่วิตามินหรือแร่ธาตุสังเคราะห์
แม้จะอยู่ในรูปพร้อมใช้งานแต่องค์ประกอบสำคัญที่ขาดหายไป คือ Phytochemical ดังนั้น
วิตามินสังเคราะห์จึงไม่อาจเทียบชั้นกับวิตามินที่ได้จากอาหาร (ยกเว้นวิตามินบี 9
หรือที่รู้จักในชื่อโฟเลต / กรดโฟลิก หากอยู่ในรูปสังเคราะห์
ร่างกายจะดูดซึมได้ดีกว่าบี 9 ในอาหาร)
สำหรับคนที่แข็งแรง
ร่างกายปกติ หากรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ทุกมื้อทุกวัน
ก็จะได้รับวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม
สำหรับบางกลุ่มคนที่อยู่ในภาวะ “พร่อง” โภชนาการหรือกลุ่มเสี่ยงขาดแคลน
วิตามินสังเคราะห์ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก กลุ่มที่ว่าได้แก่
สตรีที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร สตรีที่รอบเดือนมามากผิดปกติ
คนชราที่พิการหรือมีโรคประจำตัว คนที่มีปัญหาด้านสุขภาพบางอย่าง
คนที่รับประทานมังสวิรัติแบบเคร่งครัด คนที่ลดความอ้วนผิดวิธี
ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด ผุ้ใช้ยาเสพติดและผู้สูบบุหรี่จัด เป็นต้น
คนจำนวนมากมักเข้าใจผิดคิดว่าวิตามินบางอย่างเมื่อรับประทานในปริมาณมากมันสามารถกลายเป็นยารักษาหรือป้องกันโรคบางอย่างได้
ยกตัวเย่างเช่นมีการโปรโมตว่าการรับประทานวิตามินซีช่วยรักษาอาหารหวัด
หรือวิตามินอีมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ แต่ความจริงก็คือ
ยังไม่มีงานวิจัยใดยืนยันว่าความเชื่อเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
อีกทั้งการรับประทานอาหารเสริมในปริมาณที่มากเกินไปยังจะก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ด้วยซ้ำ
การรับประทานวิตามินเสริมบางชนิดมากเกินความจำเป็นอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพได้
เช่น วิตามินที่ละลายในไขมันอย่าง เอ ดี อี และเคที่สามารถสะสมในร่างกายได้
และหากมากเกินไปก็ก่อให้เกิดพิษ วิตามินที่ละลายในน้ำ บางอย่าง เช่น บี 6 หากรับประทานมากไปก็เป็นพิษเช่นกัน
แร่ธาตุเองก็ไม่ต่าง
สังกะสี ธาตุเหล็ก โครเมียม และซีลีเนียม
หากรับประทานมากเกินกว่าจากที่แนะนำก็ทำให้เกิดโทษยกตัวอย่าง สังกะสี
หากมากเกินจะขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กและทองแดง ผลที่ตามมา คือ
ระบบภูมิคุ้มกันรวน ทำให้การทำงานของหัวใจมีปัญหา และเกิดโรคเลือดจาก
ขณะที่น้ำมันปลา
แม้จะมีคุณประโยชน์มากมาย แต่ถ้ารับประทานเกินจำเป็นอาจทำให้การแข็งตัวของเลือด (Blood Clotting) ลดลง ส่วนการรับประทานแคลเซียมในปริมาณมากจะทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กลดลง
หรือโอเวอร์โดสวิตามินเอไม่เพียงส่งผลต่อกระดูกและผิวหนัง ระบบประสาทส่วนกลาง
และการทำงานของตับ แต่ยังร้ายแรงถึงขั้นทำให้แท้งหรือทารกที่เกิดมาพิการอีกด้วย
ผู้เขียนไม่ได้ต่อต้านการใช้อาหารเสริมหรือวิตามินสังเคราะห์
แต่มองว่าจะดีกว่าไหมหากเราเรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างชาญฉลาดโดยไม่ตกเป็นเหยื่อของโฆษณาวิตามินสังเคราะห์ไม่สามารถบริโภคแทนอาหารหลักได้
และหากจะใช้มันก็ควรเป็นระยะสั้นไม่ใช่ระยะยาว แต่ถ้าคิว่าอยากรับประทานจริง ๆ
ควรขอคำแนะนำจากแพทย์ นักโภชนาการ นักกำหนดอาหารหรือผู้มีความรู้ไม่ใช่รับประทานสุ่มสี่สุ่มห้าหรือรับประทานตามแต่สัญชาติญาณจะพาไป
เพราะแต่ละโดสมีความหมายมีความสำคัญน้อยไปก็ไม่ดี มากไปก็เป็นพิษได้
ทางเลือกของการมีสุขภาพดีไม่ได้อยู่ที่การซื้อวิตามินสังเคราะห์มารับประทานแต่ยังมีอีกมากมายหลายทางที่เราสามารถทำได้
เช่น การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การปรับพฤติกรรมการรับประทานใหม่
การลดช่องทางที่จะนำไปสู่การเกิดโรคและการเลือกทานอาหารที่มีคุณค่ามีประโยชน์
ฮิปโปเครตีส
บิดาแห่งวงการแพทย์กล่าวไว้ว่า “Let your food
be your medicine and your medicine be your food” นับเป็นคำพูดที่ไม่เคยล้าสมัยเลย
การใช้อาหารเป็นยา หากทำได้ เราก็ไม่ต้องเสียเงินแพง ๆ
ซื้อวิตามินสังเคราะห์มารับประทานให้เปลืองงบโดยใช่เหตุ
No comments:
Post a Comment