ประโยชน์ ของ อาหารเสริม ที่มี วิตามินอีหรือโทโคฟีรอล (Tocopherol) เป็นวิตามินอีที่ละลายในน้ำมัน
มีหน้าที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดรอยแผล บำรุงประสาทและกล้ามเนื้อ
บำรุงเม็ดเลือดแดง ช่วยการไหลเวียนของเลือด ป้องกันหลอดเลือด แข็งตัว ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
ต้านการเสื่อมของไขมัน ปกป้องเยื่อปอด รักษาแผลไหม้ ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
และหากใช้วิตามินเคช่วยจะป้องกันการเป็นหมันแบะเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
วิตามินอีพบในน้ำมันพืช ธัญพืช อะโวคาโด ข้าวโพด มะกอก ผักถั่ว
เนื้อสัตว์ ไข่แดง และผักใบเขียว
เด็กแรกเกิด 6 เดือน ร่างกายควรได้รับวิตามินอี 4 มิลลิกรัม
6 เดือนถึง 1 ปี ร่างกายควรได้รับวิตามินอี 5 มิลลิกรัม
1-3 ปี ร่างกายควรได้รับวิตามินอี 6 มิลลิกรัม
4-8 ปี ร่างกายควรได้รับวิตามินอี 7 มิลลิกรัม
9-13 ปี ร่างกายควรได้รับวิตามินอี 11 มิลลิกรัม
วัยรุ่น-ผู้ใหญ่ ร่างกายควรได้รับวิตามินอี 15 มิลลิกรัม
ในผู้ชายควรได้รับวิตามินอี 300 IU (10 มิลลิกรัม)
และในผู้หญิงควรได้รับ
8 มิลลิกรัม
หากต้องการป้องกันเกล็ดเลือดจับตัวอุดตันหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจควรรได้รับปริมาณ 400
IU
หากขาดวิตามินอีจะปรากฏอาการอ่อนเพลีย กล้ามเนื้อไม่มีแรง ผิวหนัง ช้ำเขียวง่าย
แก่ก่อนวัย แผลหายช้า เส้นเลือดดำขอด ในเด็กเม็ดเลือดแดงแตก ผู้ใหญ่โลหิตจาง
ระบบประสาทผิดปกติ เป็นหมัน อาจทำให้แท้งได้ มักขาดในเด็กที่คลอดก่อนกำหนด
ที่หมอให้ออกซิเจนแล้วเด็กตาบอดเพราะอนุมูลอิสระจากออกซิเจนมีมากจึงทำลายเรตินาในตา
ดังนั้นต้องแก้โดยให้วิตามินอี 0.7 IU ก่อนให้ออกซิเจน
หากได้รับมากเกินไปจะมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้
ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดไม่ควรรับประทานวิตามินอีสูง
เพราะจะทำให้เลือดหยุดไหลยาก
ข้อควรระวัง
ห้ามใช้กับผู้ขาดวิตามินเค เพราะจะทำให้เลือดหยุดไหลยาก
No comments:
Post a Comment